Archive

Archive for มีนาคม 29, 2009

พาเที่ยว Capitol Hill ;Washington DC ตอนที่ 2 (Series ทำวิจัยในต่างประเทศ #13)

มีนาคม 29, 2009 ใส่ความเห็น

ขุดมาจาก livespace ครับ เวลาย้ายบลอกทีนี่เหนื่อยนะเนี่ย
ความเดิมดูได้ที่ลิงค์นี้ครับ

โปรดระวัง Entry นี้รูปเยอะมาก โหลดโหด

โปรแกรมท่องเที่ยววอชิงตัน วันที่ 26 และ 27 ธันวาคม  2550 ถูกวางแผนขึ้นในคืนวันที่ 25 ตามกำหนดการเดิม เช้า 26 จะเดินไปที่ Washington Monument เพื่อขึ้นไปยังยอดบนสุด รวมทั้งเที่ยวบริเวณนั้น ไปจนถึง Lincoln memorial แล้วตอนบ่ายค่อยเข้าไปเที่ยวในพิพิธภัณฑ์ตามความสนใจของแต่ละคน ทว่าหลังจากออกเดินทางแต่เช้า แวะกินแซนด์วิชและน้ำดื่มกันพออิ่ม แล้วเดินไปถ่ายรูปหน้า capitol ท่ามกลางอากาศขมุกขมัว ท่าทางพยากรณ์อากาศจะแม่นจริงว่าฝนจะตก แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าจะตกเร็วขนาดนี้ (คิดว่าจะตกตอนบ่าย แถมมีโอกาสตกแค่ 30%)

IMG_0305 PC260033 PC260011 PC260014

รูปหมู่ ณ หน้ารัฐสภาสหรัฐอมริกา สถานที่สาบานตนเป็นประธานธิบดีของ บารัค โอบามา

IMG_0362

Smithsonian Information Center

หลังจากแวะชม  Smithsonian Information Center ได้สักพัก ปรากฎว่าฝนก็ปรอยๆ ลงมา จึงต้องเปลี่ยนแผน ด้วยการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแทน โดยแยกย้ายกันไปแล้วแต่ความสนใจจากนั้น

SANY0070 SANY0056 SANY0058 SANY0060 SANY0061 SANY0062 SANY0065 SANY0047

เนื้อหาภายในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติวิทยา ชั้นแรกจัดนิทรรศการแสดงไปตามลำดับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ทั้งอาณาจักรพืชและอาณาจักรสัตว์ แต่ดูเหมือนจะเน้นอาณาจักรสัตว์เป็นพิเศษ เพราะมีหลายห้องเหลือเกิน ใครที่เคยปวดหัวกับวิชาอนุกรมวิธาน ในระดับมัธยมหรือมหาวิทยาลัย ถ้ามาชมพิพิธภัณฑ์นี้จะเห็นภาพได้ชัดเจนมากครับ เค้าไล่มาตั้งแต่สิ่งมีชีวิตอย่างง่ายตั้งแต่เซลล์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนแล้วมาจบที่ “มนุษย์”  ส่วนชั้นสองเป็นห้องแสดงแมลง อัญมณี อารยธรรมมนุษย์ ด้วย ข้ามฝั่งมาทางด้าน

ตอนเที่ยงเหล่ารหัส 42 ผู้เฒ่าฟิสิกส์ ทั้งหลายก็แยกตัวไป Air and Space Museum กันก่อน  ปล่อยให้พวกเด็กๆ ซึ่งเค้าชอบชีวฯ ดูต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าการฝ่าฝนออกมาคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่เราก็ไปยังฝ่าไป Air and Space Museum จนได้ แล้วก็ประทังหิวด้วยที่ร้านแมคโดนัลด์ รอ

IMG_0769 IMG_0701 IMG_0733 IMG_0735 IMG_0741 IMG_0745 IMG_0752 IMG_0759

Air and Space Museum เริ่มตั้งแต่ความฝันของมนุษย์ที่จะบิน ตั้งแต่ยุคโบราณ จักรกลช่วยบิน การพยายามเลียนแบบนก บอลลูน ไปจนถึงการประดิษฐ์เครื่องร่อน เครื่องบิน การพัฒนาปีกแบบต่างๆ การพัฒนาเครื่องยนต์ ตั้งแต่แบบลูกสูบ มาจนถึงเครื่องยนต์ไอพ่น ซึ่งล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยการถ่ายทอดความรู้กันมา เพื่อพัฒนาเป็นเครื่องจักรที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ (ซึ่งต้องอาศัยกำลังสมองอย่างสูง แน่นอนว่าทำไม ทรัพย์สินทางปัญญา ถึงเป็นสิ่งที่น่าหวงแหนยิ่ง)  จากนั้นก็แยกเป็นการบินพลเรือน กับการบินเพื่อความมั่นคง  มีโชว์เครื่องบินรบรุ่นต่างๆ แต่ไม่มีให้เด็กขึ้นไปนั่งดูคอกพิทของ “เครื่องบินรบ” หรอกครับ เค้าให้เด็กดูแต่ห้องควบคุมของ “เครื่องบินพาณิชย์” เท่านั้น  (มีนัยสำคัญที่ไม่ต้องการปลูกฝังความรุนแรง และไม่อยากให้เด็กได้ใกล้ชิดอาวุธมาก)  แต่ก็ยังไม่วายมีห้องที่จำลองห้องบนเรือบรรทุกเครื่องบิน ทั้งหน้าและท้ายเรือ ให้ได้เห็นการทำงานของทหารที่ปฏิบัติงานอยู่ด้วย  พร้อมทั้งวีดีโอบรรยายสรรพคุณของหน่วยปฏิบัติการดังกล่าว ทั้งเทคโนโลยี ทีมงาน และการซ้อมรบ ดูแล้วรู้สึกว่าใครจะสู้ประเทศพี่ท่านได้เนี่ย(-_-)  จากนั้นก็เป็นการบินอวกาศ  โชว์คอมพิวเตอร์ที่ควบคุมยานบิน กระสวยอวกาศ จรวด ข้าวของเครื่องใช้ในยานอวกาศ เซลล์เชื้อเพลิง(รุ่นแรกที่ใหญ่มากๆ) ชุดอวกาศ และประวัติศาสตร์ด้านการบินอวกาศของสหรัฐฯ

PC260049

งานศิลปะ หน้า Air and Space Museum หลายคนบอกว่าไม่เข้าใจว่าเสานี้หมายถึงอะไร บ้างก็เดาว่าเจ้าลูกกลมที่มีเข็มชี้ออกมาเหมือนดาวฤกษ์มั่ง แต่สำหรับคนเรียนดาราศาสตร์หรือฟิสิกส์ดาราศาสตร์มาอย่างข้าพเจ้า  มองว่ามันอาจจะใช้แทนหลุมดำ(black hole) หรือ protostar ที่มี จานสะสมมวล accretion disk (ดาวแฉก หกอันนั้นรวมกันแล้วเหมือนมาก) ส่วนเสาสีเงินก็คือ ลำอนุภาคหรือรังสีที่ถูกยิงออกมาจากขั้วแม่เหล็กที่เส้นสนามถูกบิดอันเนื่องมาจากการหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วสูงของหลุมดำหรือ protostar  จนเส้นสนามแม่เหล็กบิดพันกันดูเหมือนเส้นเชืกเส้นเล็กๆที่พันรวมกันเป็นเส้นเชือกที่ใหญ่ แล้วกักอนุภาคพลังงานสูงที่ถูกยิงออกมาไว้ภายใน จนเห็นเป็นลำแสงออกมาจากขั้วทั้งสองเรียกว่า Bipolar Jet (-_-!) จินตนาการบรรเจิดมาก  แถมรูปเปรียบเทียบด้วย

PC260143 PC260125 PC260128 PC260129

IMG_0662 IMG_0635 IMG_0637 IMG_0660

ด้านพิพิธภัณฑ์ศิลปะก็ไม่ต่างกัน เค้าเริ่มจัดแสดงตั้งแต่งานศิลปะตะวันตกในยุคแรกๆ ไล่ไปยังอนาคตเรื่อยๆ ให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลง ไปจนถึงงานศิปละร่วมสมัย ซึ่งอยู่อีกฝากของถนน

น่าทึ่งกับพิพิธภัณธ์ดีๆ แบบนี้เหลือเกิน ข้อสังเกตคือ พิพิธภัณฑ์ที่นี่เข้าฟรีครับ ไม่ต้องเสียค่าบำรุงอะไรเลย คาดว่ารายได้ที่นำมาบำรุงพิพิธภัณฑ์ก็คงมาจาก พวกของที่ระลึก อาหาร รวมทั้งภาษีที่เราจ่ายไปตลอดเวลาที่เราอยู่ในเมือง ทั้งค่าโรงแรม ค่าอาหาร สินค้าต่างๆ  ที่น่าประทับใจมากคือการรวมเอาพิพิธภัณฑที่หลากหลายไว้ในบริเวณใกล้เคียงกัน ทั้งด้านธรรมชาติวิทยา ด้านประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์  (มีอเมริกันอินเดียน, อเมริกันแอฟริกัน แยกให้ดู)  ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น อีกทั้งยังเอาไว้ใกล้กับศูนย์กลางการปกครอง อนุสรณ์สถานสำคัญตามประวัติศาสตร์ชาติ รวมทั้งบุคคลสำคัญด้วยทำให้บริเวณ Capitol Hill เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เรียกได้ว่าสำคัญ นอกจากจะรับรู้สิ่งสำคัญของประเทศนี้แล้ว ยังใกล้แหล่งความรู้อีกต่างหาก

หลังจากได้ความรู้ อึ้ง ทึ่ง กับความรู้และซื้อของที่ระลึกกันแล้ว ก็ฝ่าฝน(พยากรณ์อากาศแม่นจริงๆ)  หลังจากนั้นก็ไปหาอาหารไทยกินกันที่ร้าน Thai Tanic ซึ่งก็พาหลงทางกับวนหาที่จอดกันนานพอควร แต่ก็คุ้มค่า ได้ลิ้มรสอาหารไทยที่ไม่ได้กินมานานเกือบเดือน  และต้องขอบคุณเจ้าของร้าน Thai Tanic, Washington DC  USA ที่แถมกล้วยทอดราดน้ำผึ้งมาเป็นของหวานปิดท้ายให้ เด็กน้อยผู้หิวโซทั้ง 7 ได้ลิ้มลอง  ขอบคุณครับไว้มีโอกาสจะกลับไปเยี่ยมเยือนใหม่

IMG_0815 IMG_0798 IMG_0813IMG_0800 IMG_0806

ปล.   ยังๆ ยังไม่จบ อิ่มแล้วจะกลับไปนอนอืดที่พักก็ใช่ที่ โอกาสแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆในชีวิต พวกเรายังพยายามไปต่อครับ  ต้นคริสต์มาสหน้า ทำเนียบขาวไง ฝนตกกลางฤดูหนาวแบบนี้ก็ยังสู้ครับ  แถมบังเอิญได้เจอกับคู่สามีภรรยาชาวไทย ที่มาอยู่ที่นี่นานแล้ว

IMG_0841 IMG_0844 IMG_0819IMG_0823

หมวดหมู่:Academic, Vocation

พาเที่ยว Capitol Mall,Washington DC ตอนที่ 1(Series ทำวิจัยในต่างประเทศ #12)

มีนาคม 29, 2009 ใส่ความเห็น

Series ตอนนี้เคยเขียนไว้ใน live space เมื่อประมาณธันวาคม 2550 ขุดมาใส่ใน exteen กับ wordpress กีสักที ความเติมตอนที่แล้วติดตามได้ที่นี่

โปรดระวัง Entry นี้โหลดโหด (รูปเยอะมากๆ)

วันที่ 25 ธันวาคม 2550 ก็ได้ฤกษ์เดินทางไป Washington DC เสียที  เวลาประมาณ 8.00 น. ด้วยความกรุณาจากพี่แป้งกับพี่พัฒน์ก็ขับรถมารับพาไปส่งที่สถานีรถไฟ Amtrak-Wilmington ของบริษัท Amtrak เมือง Wilmington อันเป็นเมืองธุรกิจและเมืองหลวงของรัฐ Delaware

ใช้เวลา 15 นาที กับเครื่อง GPS พูดได้ แต่ก็ยังเลี้ยวผิดทาง ก่อนถึงสถานีนิดเดียวเอง  ที่ตลกคือเจ้าเครื่อง GPS จากที่เคยพูดได้พูดดีกลับเงียบสนิทพร้อมทั้งปรากฎเครื่องหมาย [?] บนหน้าจอสีฟ้า  แสดงว่า GPS ก็งงเป็น

ก็ไม่ยากสำหรับการกลับเข้าเส้นทางเดิม ลงรถลาท่านพี่ทั้งสองเข้าไปในสถานี ก็ต้องไปเอาตั๋วออกมาก่อน โดยมีสองวิธีคือ เอาเลขลำดับการจองที่พิมพ์ออกมาทางอินเตอร์เนต กับ ID Card หรือ Passport ไปที่เคาท์เตอร์ ก็จะได้ตั๋วมา หรือเอาบัตรเครดิตหรือเดบิตที่เราระบุว่าให้ตัดยอดจากบัตรดังกล่าวไปเสียบในเครื่องอัตโนมัติหน้าตาแบบนี้

เสียบหรือรูดพอการ์ดให้เครื่องมันรู้จักแล้วก็เก็บใส่กระเป๋า(ไม่ต้องเสียบค้างแบบตู้เอทีเอ็มธนาคาร)  จากนั้นกดเลขลำดับการจอง ตรวจดูข้อมูลว่าถูกต้องหรือไม่  แล้วก็สั่งพิมพ์ออกมา จะได้ตั๋วหน้าตาแบบนี้  สะดวกมากๆ

PC250098 PC250099

ด้านหน้าและด้านหลังของตั๋วรถไฟ

จากนั้นก็เข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อย  เช็คว่าขบวนรถไฟที่เราจะขึ้นจะต้อง ไปรอที่ชานชลาไหน หรือประตูไหน จากบอร์ดบอกเวลารถเข้ารถออก(ยังกะสนามบิน)  จากนั้นก็ขึ้นไปรอให้ถูกขบวน  เมื่อขึ้นบันไดเลื่อนไป ออกไปปุ๊บก็จะเป็นชานชลาลมโกรมหนาวเย็น แต่ยังดีที่มีแดด

PC250094 PC250095 PC250096 PC250092

เมื่อรถไฟมาถึงตามเวลา 9.00 AM คราวนี้มันจะยุ่งก็คราวนี้เพราะหนึ่งตั๋วรถไฟไม่ระบุเลขที่นั่ง นั่นคือเราจะขึ้นไปนั่งที่ไหนก็ได้ที่ว่าง แต่ต้องให้ถูกกับราคาตั๋วเราด้วย ซื้อตั๋ว coachcar จะไปนั่ง Business car ได้ยังไง  แต่ที่ยุ่งกว่าคือ แต่ละตู้จะมีจุดปลายทางไม่เหมือนกัน ถ้าเราไป DC ก็ควรจะไปอีกตู้หนึ่ง ถ้าไปลง Baltimore ก็ต้องไปนั่งอีกตู้หนึ่ง ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงก็ต้อง “ถาม” เจ้าหน้าที่ ถ้าเราไปนั่งผิดตู้ ก็จะต้องย้ายหรือรอให้เจ้าหน้าที่มาบอกว่าจะลงแล้วนะ ซึ่งค่อนข้างยุ่งยากสำหรับผู้โดยสารกับเจ้าหน้าที่พอสมควร  ก็แล้วในเมื่อไฮเทคโนโลยีขนาดจองทางเนตได้ ก็รู้ว่าเราจะลงที่ไหนแล้ว   แล้วทำไม ไม่ระบุตำแหน่งที่นั่ง พร้อมทั้งเลขตู้ ไปเลยก็ไม่รู้

อนึ่งรถไฟสายนี้คือรถไฟสายที่ ปธ.โอบามา ใช้เดินทางไปวอชิงตันดีซี เพื่อตามรอย อดีต ปธ. อับบราอัม ลินคอล์น  และที่เมือง Wilmington และสถานีนี้เอง ที่โอบามาจะแวะเพื่อรับ รองประธานาธิบดี จอห์น ไบเดิน ผู้ที่เคยเป็นวุฒิสมาชิกรัฐเดลาแวร์นี่เอง

รถไฟจาก Wilmington จะผ่านเมือง Newark (แต่ไม่จอด) Aberdeen  Baltimore  และ Washington DC ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ครึ่ง แต่คราวนี้รถไฟกลับล่าช้าไปกว่า 10 นาที (ประเทศนี้ก็ยังช้าเป็น) เพราะไปจอดค้างที่สถานี Aberdeen อยู่นานมากไม่รู้ว่าทำไม  จะว่าจอดหลบอีกคันที่สวนมาก็ไม่ใช่เพราะเป็น รถไฟรางคู่

กว่าจะถึง Washington DC สถานี Union Station ก็ปาเข้าไปเกือบ 10.40 AM โทรศํพท์ให้เพื่อนมารับ  ภายในภายนอกสถานี Union Station แห่ง Washington DC โอ่โถงและงดงามด้วยสถาปัตยกรรมยุโรป งามมาก

PC250118 PC250115 PC250116 PC250117

รถแทกซี่ต่อคิวรับผู้โดยสาร

PC250119

อีกฝั่งกำลังปรับปรุงทางเท้า

มื่อมารับแล้วเราก็มุ่งหน้าสุ่โรงแรมที่พักเพื่อเช็คอินและพักผ่อนกันก่อน แต่ก็ไม่วายหลงทางกันอีกเพราะมีแต่แผนที่ไม่มี GPS มีแต่แผนที่ซึ่งบางทีเราก็นับ block อาคาร แต่ในความเป็นจริง block มันสั้นมากๆ จนตัดสินใจเลี้ยวผิด เข้าผิดเลนตรงทางแยกก็ต้องตรงไปอย่างเดียว แบบนี้เป็นต้น     และ วอชิงตัน ดีซี คือเมืองที่ไม่อภัยให้กับ “คนหลงทาง” เพราะเมื่อเลี้ยวผิดแล้วการพยายามกลับเข้าเส้นทางเดิมเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ทั้งบางทีก็เจอทางห้ามเข้าเพราะถนนมันปล่อยให้รถวิ่งทางเดียวบ้าง  กว่าจะวนกลับมาได้ก็แถบจะไปวนรอบเมืองใหม่ทีเดียว แถมมาใหม่ๆ ยังไม่รู้เหนือรู้ใต้ ดูแผนที่ไม่เข้าใจก็จบกันพอดี   แต่สุดท้ายด้วยความร่วมมือร่วมใจก็สามารถไปถึง Washington Courth Hotel ที่อยู่ห่างสถานทีรถไฟ Union station เพียงแค่ 500 เมตร ได้  แต่ก็ไปวนกันอยู่หลายกิโลเมตรทีเดียว

SANY0004 SANY0005 SANY0703 SANY0001 SANY0002 SANY0003 SANY0706

โถงต้อนรับและห้องพัก Washington court hotel  จากกล้องของชาวคณะที่อยู่อีกห้องครับ  แม้จะอยู่คนละห้องแต่จัดการวางก็ไม่ต่างกัน

หลังจาก check in เข้าพักและเก็บของเรียบร้อยแล้ว 5 หนุ่ม ก็ออกเดินทางไปหาอะไรกินโดยมุ่งหน้าไปไชน่าทาวน์  ซึ่งเป็นแหล่งเดียวที่คิดว่าร้านค้าไม่ปิดในวันคริสต์มาส (ขอบคุณความขยันขันแข็งของชาวจีน)  ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่พักเท่าไหร่ เมื่อหาที่จอดรถได้ ซึ่งจะต้องเป็นข้างทางที่มี เสาเขียวๆ ให้เราหยอดเหรียญจอด ชั่วโมงละ  1 USD รับแต่เหรียญ  25, 10, 5 cent เท่านั้น  เราจอดรถตรงหน้าพิพิธภัณฑ์

PC250133 PC250139 PC250137 PC250124PC250123PC250136

แล้วเดินไปสองสามบล๊อคเพื่อไปทานติ่มซำเป็นอาหารกลางวันที่  TonyChang หรือเปล่าไม่แน่ใจ

PC250130 IMG_0246 IMG_0247 IMG_0249

สามคนพวกเราชาวฟิสิกส์ มช. (รหัสนักศึกษาก็เอา พศ. ปัจจุบันลบ 10 นะครับ)

แล้วก็ไปชักภาพกับประตูเข้าไชน่าทาวน์

IMG_0256

ห้าคน ฟิสิกส์ ชีว ฟิสิกส์ ฟิสิกส์ และวิศวะคอม

จากนั้นก็เป็นมหกรรมขับรถวนไปรอบ Capitol Hill อันเป็นสถานที่รวมอนุสาวรีย์ อนุสรณ์สถาน พิพิธภัณฑ์มากมาย  รัฐสภา  ทำเนียบขาว   สถานที่ท่องเที่ยว  ที่น่าอิจฉาคือเขาทำพิพิธภัณธ์ที่ดีๆ เอาไว้กลางเมืองและไว้ใกล้ๆ กัน ที่สำคัญคือเข้าฟรี(จริงๆ ก็เก็บภาษีที่เราใช้จ่ายไปกับ ค่ารถ ค่าโรงแรม ค่าอาหารไป ก็เพื่อเอามาบำรุงสถานที่เหล่านี้นั้นแหละ)

Washington DC

Washington DC

นอกเรื่องล่ะ หลังจากนั้นก็กลับไปพัก รอเวลาเย็นๆ เพื่อเดินทางออกนอกเมืองไปยังสนามบิน Dulles เพื่อรับอีกสองคน ซึ่งเราก็หลงทางบนทางด่วนกันตามระเบียบ แต่สุดท้ายก็บรรลุภารกิจ พากันกลับเข้าเมืองได้อีกครั้งแล้วก็ฝากกระเพาะไว้กับ ไช่น่าทาว์นอีกครั้ง

PC250140

แล้วค่อยกลับมาโรงแรมประชุมแผนการท่องเที่ยวต่อไป……

โปรดติดตามตอนต่อไป กับ รัฐสภา และพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจ…

Technorati Tags: ,
หมวดหมู่:Academic, Vocation

Series ทำวิจัยในต่างประเทศ # 11 สองวัน กับสองร้านอาหาร

มีนาคม 29, 2009 ใส่ความเห็น

Series ตอนนี้เคยเขียนไว้ใน live space เมื่อประมาณธันวาคม 2550 ขุดมาใส่ใน exteen กับ wordpress กีสักที ความเติมตอนที่แล้วติดตามได้ที่นี่

เมื่อ 20 ธันวาคม 2550 มีโอกาสได้ไปร้าน Texas เนื่องในโอกาสวันเกิดของพี่ต้น พี่ใจดีที่เคยขับรถพาผมไปส่งวันทำสัญญาเข้าพัก  ตอนแรกคิดว่าร้านอยู่ในเมือง Newark, Delaware พอ Was ขับรถมารับซึ่งอัดกันมาสี่คนได้แก่ Was พี่ต้น เอย และพี่แป้ง ตอนทุ่มยี่สิบ แล้วก็ขับออกไปตอนแรกนึกว่าออกนอกเมืองลงใต้ไปเท่าไหร่ แต่พอให้เห็นความกว้างของถนน ปริมาณรถ และชนิดของรถที่เริ่มละลานตา ตั้งแต่รถยนต์ รถ SUV รถแวน รถบันทุก ทำให้รู้ว่านี่เราออกมายังทางหลวงแล้วนี่นา แล้วจะไปไหนกันล่ะนี่ กว่าจะไปถึงที่ อารมณ์ประมาณว่าบ้านอยู่เชียงใหม่ แล้วขับรถไป Dinner กันที่ลำพูนไม่สิถ้าไม่มีภูเขาขวางทาง อาจจะเป็นลำปางเลยด้วยซ้ำ

ร้านที่ไปกินกันคือ  Texas (ชื่อเต็มจำไม่ได้แล้ว) ภายนอกตกแต่งแนวคาวบอย ส่วนข้างใน ก็คาวบอยอีกนั่นแหละ (จะให้แหวกแนวเป็นวิคทอเรียนหรือโกธิคก็คงจะหักมุมเกินไป) เข้าไปข้างในก็บอกเลขที่จองพร้อมชื่อคนจอง แล้วไปนั่งรอให้เค้าเรียกเมื่อโต๊ะว่าง โดยจะปรากฎเลขที่นั่งจองของเราบนบอร์ดไฟฟ้าสีแดงดำ (เหมือนเครื่องเรียกลูกค้าตามบัตรคิว ในธนาคารบ้านเราที่ชอบพูดว่า ขอ-เชิญ-หมายเลข -หนึ่ง-(คิด)-ร้อย-ยี่สิบ-(คิดอีก)-หก-ค่ะ(ไม่ต้องคิด)) เพียงแต่ที่นี่ไม่มีเสียงเท่านั้น ต้องหมั่นเหลียวหน้าหรือชะเง้อคอรอดูอย่างเดียว  บริเวณที่นั่งรอจะวางถังขนาดใหญ่ใบหนึ่ง ซึ่งภายในบรรจุถั่วลิสงแห้งเอาไว้ เราสามารถกอบออกมาเท่าไหร่ก็ได้แล้วแต่ขนาดมือเรา แล้วเอาไปนั่งเคี้ยวเล่นฆ่าเวลาและประทังความหิว ส่วนเปลือกก็ไม่ต้องรักสะอาดกินเสร็จก็โยนลงกับพื้นหรือวางทิ้งไว้สักพักเดี๋ยวก็คงมีพนักงานมาเก็บไปทำปุ๋ยเอง

PC200079

บริเวณที่นั่งรอ  เป็นม้านั่งยาว พร้อมด้วยถึงใส่ถั่วลิสงคั่ว สามารถไปจ้วงมากินแล้วทิ้งเปลือกไว้ที่พื้นได้เลย

PC200081 PC200080

มีทีวีกับใบประกาศอะไรสักอย่างให้ดูด้วย

รถที่มากันมีห้าคน แต่ยังต้องรออีกสี่คน พอครบองค์ประชุมหมดแล้วก็ได้ที่นั่ง แบบที่ต้องแยกกันเป็นสองชุดคือ 6, 3 (ต่อโต๊ะไม่ได้ โต๊ะกับที่นั่งมันติดตาย) แต่ก็ได้นั่งข้างๆ กัน  บนโต๊ะจะมีขนมปังก้อนหวานๆ ให้กินรองท้องกันฟรีๆ

สักพักก็มีพนักงานท่าทางกระฉับกระเฉง(แต่ดุ) มารับออเดอร์ก็สั่งน้ำสั่งอาหารไปตามระเบียบ ราคาอาหารก็สิบ USD ขึ้นไปทั้งสิ้น ส่วนโค้กแก้วละ 1.99 USD o_0 โอ้ 66 บาท  ลืมบอกไปว่าที่นี่เป็นร้านสเต๊ก ทั้งเนื้อ ไก่ ปลา มีให้กิน แต่ปริมาณอาหารนั้นมากเกินกะเพาะแต่ดีที่เค้ามี “กล่องฟม” มาสำหรับลูกค้ากะเพาะแมวที่กินไม่หมด ได้เก็บไปกินต่อที่บ้าน สรุปว่า Fried Catfish ที่สั่งไปได้มา 4 ชิ้น กินลงไปแค่ชิ้นเดียวบวกกับขนมปังอื่นๆ ก็อิ่มแล้ว ดังนั้นสามชิ้นที่เหลือจึงกลายเป็นเสบียงยามยากเอาไว้ออกรบในวันต่อไป

PC200082

ขนมปังหวานแจกฟรีเอาไว้กินรองท้อง เป็นขนมปังที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา

PC200084 เมนู

PC200087

ชาวคณะคนไทยในเดลาแวร์

ขากลับมีเรื่องให้ระทึกใจด้วยการฝ่าไฟเหลืองสองสี่แยกติดๆ แต่ไฟเหลืองที่นี่ค้างนานมากก็เลยรอดไป

รุ่งขึ้นหลังจากคุยงานและปรึกษางานกับProf. จอห์นแล้ว เนื่องจากเป็นวันศุกร์ จอห์นเลยชวนไปทานข้าวกลางวันกับก๊วนซึ่งวันนี้ประกอบด้วย Prof. Paul , Prof. Chui, Prof. Pittel และ Post Doc ชาวญี่ปุ่นคุวาบาระซัง  ร้านที่ไปก็เป็นร้านอาหารแนวคันทรีอีกแล้ว แต่เป็นคันทรีแบบในเมืองหน่อยๆ ชื่อว่า Deer Park Tavern ก็อาหารทั่วไปไม่มีอะไรไม่   นึกอะไรไม่ออกก็ Fish and Chip อย่างเดียวเลย

ระหว่างทานข้าวก็คุยกันไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะ Prof. Chui ที่ชอบคุยเรื่องเมืองไทยมากเป็นพิเศษ เพราะพึ่งกลับจากประชุมวิชาการที่เมืองไทยที่จุฬาฯ แกบอกว่าชอบไปเดินห้างมาบุญครอง ถามเรื่องกีฬาที่เล่นคล้ายๆวอลเลย์บอล แต่ใช้เท้าแทน(คาดว่าคงเห็นตะกร้อที่แข่งซีเกมส์กันแน่ๆ) แต่ไม่รู้เรียกว่าอะไร ท่าทางน่าสนุก  คุยไปคุยมาก็มาคุยเรื่องทีวีเกาหลี ที่เป็นที่นิยมกันมากไม่เว้นแม้แต่ในอเมริกา โปร.พอล เลยเอ่ยถึงละครเรื่องหนึ่งที่ยาวเกือบร้อยตอน เรื่องเกี่ยวกับจักรพรรดิเกาหลี  เอ๊ะ!! คุ้นๆ นะ พอลบอกว่ากำลังเป็นที่นิยมแม้แต่ในญี่ปุ่นและประเทศในเอเชีย  โอ้!! นี่เดินทางมาครึ่งโลก ก็ยังมีโปรเฟสเซอร์มาคุยเรื่อง “จูมง” ให้ฟังอีกหรือนี่ อะไรมันจะดังได้ขนาดนี้!!!

หมวดหมู่:Academic